ศิลปินสาวเท่ Willow ได้ออกมาเปิดใจถึงผลกระทบจากความสำเร็จของซิงเกิ้ลเดบิวต์อย่าง “Whip My Hair” ซึ่งทะยานขึ้นชาร์ตเพลงอเมริกาได้สูงสุดในอันดับที่ห้า หลังถูกปล่อยออกมาเมื่อปี 2010

ในบทสัมภาษณ์ผ่านคอลัมน์ Big Read ของสื่อ NME ศิลปินผู้เป็นลูกสาวของนักแสดงชื่อดัง Will Smith กล่าวว่าความรู้สึกกดดันและความสนใจที่ถาโถมเข้ามาตั้งแต่ตอนเริ่มต้นอาชีพ ทำให้เธอตั้งคำถามกับเส้นทางดนตรีของตัวเอง

ในปี 2011 เธอเป็นศิลปินเปิดทัวร์ ‘My World’ ของ Justin Bieber ในสหราชอาณาจักร แต่ต้องการถอนตัวออกจากทัวร์ในออสเตรเลียที่กำลังจะมาถึง โดยมีรายงานว่าถึงกับเธอเดินลงจากเวทีในดับลินเลยทีเดียว
 

Willow บอกพ่อของเธอว่าเธอถอดใจแล้ว แต่หลังจากที่ Will ไม่ยอมให้ลูกสาวทิ้งเส้นทางนี้ เธอซึ่งมีอายุเพียง 11 ปีในขณะนั้น จึงตัดสินใจโกนหัวเพื่อประท้วง และกว่าที่เธอจะปล่อยเพลงใหม่ออกมาก็ต้องใช้เวลานานถึงสามปี “หลังจากเหตุการณ์นั้นฉันก็ถอดใจกับวงการเพลงทันทีค่ะ ฉันพยายามหันไปเอาดีด้านอื่นหลายอย่าง ฉันไม่ทำเพลงทั้งปีเลย ซึ่งเป็นอะไรที่บ้าบอมากสำหรับฉัน” เธอให้สัมภาษณ์

“ฉันต้องการทำอย่างอื่นเพื่อดูว่าดนตรีเป็นของจริงหรือไม่ แต่มันก็ยังติดอยู่ มันไม่ได้ไปไหนเลย เหมือนดนตรีกำลังพูดว่า ‘ฉันอยู่ในความคิดและในหัวใจของเธอนะ เป็นเพื่อนร่วมห้องของเธอตลอดไป เธอสามารถเขียนหนังสือได้หากต้องการ แต่นั่นจะไม่ใช่สิ่งสำคัญของเธอ เธอจะไม่ทิ้งฉันไว้ข้างหลังและไปเป็นนักเขียนหรอก’”
 

เธอกล่าวต่อว่า “ฉันทำได้ทั้งสองอย่างอย่างแน่นอนค่ะ และมันจะเกิดขึ้นในไม่ช้า แต่ถึงกระนั้น ดนตรีคือหัวใจของฉัน” อย่างไรก็ตาม Willow ยังคงเดินหน้าปล่อยอัลบั้มออกมาถึงสี่ชุด ได้แก่ ‘Ardipithecus’ (2015), ‘The 1st’ (2017), ‘Willow‘ (2019) และอัลบั้มล่าสุดในปีนี้อย่าง ‘Lately I Feel Everything’ ที่เธอเปลี่ยนแนวดนตรีเป็นป็อบพังก์อย่างเต็มตัว