Dru Chen (ดรูเฉิน) นักดนตรีแนวอินดี้ป็อบหนุ่มจากประเทศสิงคโปร์ ที่เพิ่งเปิดตัวอัลบั้มใหม่ ‘Slow Life’ เมื่อไม่นานมานี้ พร้อมซิงเกิล “Summertime”, “Our Story”, “Eiffel Towe” และ “Lost” ได้แวะมาทักทายแฟนๆ ชาวไทยผ่านบทสัมภาษณ์สุดเอ็กคลูซีฟกับ Eazy FM 105.5 พร้อมพูดถึงการทำงานในรอบปีที่ผ่านมา แรงบันดาลใจสำคัญ และเรื่องราวที่น่าสนใจอีกมากมาย
สวัสดีครับ Dru Chen (ดรูเฉิน) ช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้างครับ?
- สวัสดีครับ Eazy FM! ผมสบายดีมากเลยครับ ขอบคุณนะครับ
ช่วยพูดถึงซิงเกิล “La Di Da” ให้ฟังกันหน่อยครับ
- เพลง “La Di Da” เป็นเพลงที่เกี่ยวกับช่วงเวลาที่คุณกำลังรู้สึกแย่ เพลงนี้จะช่วยโอบกอดคุณให้คุณรู้สึกสบายใจ มองเห็นสิ่งต่างๆ ในชีวิต ผมอยากให้คุณได้ลองเดินช้าลง หายใจเข้าลึกๆ สนุกกับชีวิตแม้จะมีความท้าทาย ผมเชื่อว่าเสียงเพลงจะช่วยให้ทุกคนมีความสุขขึ้นครับ!
ปกติแล้วกิจวัตรประจำวันของคุณแต่ละวันทำอะไรบ้าง?
- บางวันผมเริ่มต้นเช้าวันใหม่ตั้งแต่ตี 5.30 น. ผมชอบความสงบในตอนเช้าที่ยังไม่สว่าง มันช่วยให้ผมสามารถจัดการเรื่องต่างๆ ของผมออกมาได้เลยครับ เพราะผมไม่ได้ทำงานเพลงอย่างเดียว ผมยังเป็นครูด้วยครับ ปกติเวลาเลิกงานผมก็จะชอบไปยิมหรือเล่นบาสเก็ตบอล การออกกำลังกายที่ได้เหงื่อช่วยให้ชีวิตสดชึ่นขึ้นมากครับ และก็ส่วนใหญ่ผมจะใช้เวลากับแฟนกับแมวของเราครับ
เมื่อไม่นานมานี้ คุณปล่อยอัลบั้ม ‘Slow Life’ ออกมา อะไรคือจุดเด่นของอัลบั้มนี้?
- จุดเด่นอัลบั้ม ‘Slow Life’ คืออัลบั้มนี้มีเป็นการที่ผมได้ร่วมงานร่วมกับศิลปินหลายคนอย่าง Rangga Jones ในเพลง “Summertime”, ศิลปิน Gentle Bones ในเพลง “La Di Da” นอกจากนี้ยังมี JZlee โปรดิวเซอร์ชาวจีน แล้วก็เพื่อนสนิทของผม Jesse Bear, Paul McMurray และ Nick Kodonas มาช่วยมิกซ์/มาสเตอร์ให้ ดังนั้นผมจึงบอกได้เลยว่ามันเป็นสิ่งที่คุ้มค่ามากเลยครับ
อัลบั้มนี้ยังได้จัดคอนเสิร์ตเปิดตัวที่ Esplanade Concert Hall ด้วยครับ โดยการแสดงนั้นก็จัดการโดย Dex Wong และ Amelia Amari จาก LINCH โดยร่วมมือกับ Yung Lee Records ครับ เรียกได้ว่าคอนเสิร์ตนี้เป็นการแสดงในสถานที่ที่ใหญ่ที่สุดที่ผมเคยแสดงมาเลย และมันก็ยอดเยี่ยมมากที่ได้กลับมาเล่นอคนเสิร์ตอีกครั้งหลังจากไม่ได้แสดงมา 2 ปี
ในความคิดของคุณแล้ว คุณคิดว่าวงการเพลงเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง?
- ในความคิดผม ผมมองว่าโลกของเรามีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แล้วถ้าเป็นเรื่องของวงการเพลงมันได้เข้าสู่ไปยังโลกออนไลน์หมดแล้ว การทำคอนเท้นของศิลปินแต่ละคนมันช่างสร้างสรรค์และน่าสนใจมากๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย ทั้งบน Instagram และ TikTok คนในยุคนี้ถือว่าโชคดีมากครับ หากเทียบกับเมื่อ 12 ปีที่แล้วการจะสร้างฐานแฟนเพลงหรือการเผยแพร่เพลงของคุณ คุณต้องไปแสดงโชว์ที่ต่างๆ
อะไรคือสิ่งทำให้ที่คุณโดดเด่น?
- ผมได้รับแรงบันดาลใจจากแนวคิดในการเป็น "นักประวัติศาสตร์ทางดนตรี" ของ George Clinton ซึ่งผมได้มีโอกาสไปอ่านเจอบทสัมภาษณ์ของเขาใน Rolling Stone เมื่อเร็วๆ มานี้ เป็นการพูดถึงการนำองค์ประกอบต่างๆ มาสู่แนวเพลง รวมถึงยุคต่างๆ ของดนตรี ยกตัวอย่างเพลง “Slumber” จากอัลบั้ม ‘Mirror Work’ ของผมได้รับแรงบันดาลใจอย่างมากจากการบันทึกเสียงแจ๊สของเพลงแจ๊สในปี 1960 การเรียบเรียง Chok Kerong ที่น่าทึ่งที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Jimmie Haskell หรือ Clare Fischer มันเป็นเสียงที่เป็นเอกลักษณ์จริงๆ และเพลง “Eiffel Tower” จากอัลบั้ม ‘Slow Life’ ที่ผมได้แรงบันดาบใจมากจาก Jimi Hendrix วิธีการเล่นเสียงของกีตาร์ และองค์ประกอบที่ฟังแล้วมันช่างชวนให้เคลิบเคลิ้มซะเหลือเกินครับ
คุณได้เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเองบ้างไหมในปี 2021 ที่ผ่านมา และในปีนี้คุณมีแผนการอะไรไว้บ้าง?
- เป็นปีที่ผมได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา ทั้งเรื่องของการพัฒนาตัวเอง และความมุ่งมั่นในแบบที่ผมเป็น หรือพูดอีกอย่างก็คือ ผมได้เรียนรู้การเห็นถึงพลังงานศักยภาพของตัวเองเพื่อที่จะเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น ส่วนในปีนี้ผมก็ตั้งใจว่าจะมุ่งมั่นด้านดนตรีให้กล้าที่จะทำสิ่งใหม่ๆ มากขึ้นครับ
คำถามสุดท้าย อยากฝากอะไรถึงแฟนเพลงชาวไทย?
- ขอบคุณแฟนเพลงที่เปิดโอกาสมาฟังผลงานเพลงของผม กับความรักของพวกคุณ ผมหวังว่าสักวันหนึ่งผมจะได้มีโอกาสไปเยี่ยมประเทศที่สวยงามของคุณ ได้ใช้เวลากับคุณ และได้แสดงดนตรีที่นั่นสักครั้ง!