listen live


NEXT :
PREV :
/ NEWS /

Legacy of The Spice Girls

Mar 08, 2019 / ดู 3,906 ครั้ง

#Who Do You Think We Are
 
ก่อนจะใช้ชื่อ Spice Girls เป็นชื่อวง สาว ๆ ใช้ชื่อว่า Touch ซึ่งสมาชิกแต่ละคนได้ผ่านการคัดเลือกและจับมารวมกันเป็นวงจากบ๊อบและคริส เฮอร์เบิร์ต สองพ่อลูกที่ตั้งใจทำวงหญิงล้วนมางัดข้อกับบอยแบนด์ในยุคนั้น  สมาชิกแรกเริ่มประกอบด้วยเมลานี บราวน์, วิคทอเรีย อดัมส์, เมลานี ชิสโฮล์ม, เจรี่ ฮัลลิเวลล์ และมิเชล สตีเฟนสัน แต่ต่อมามิเชลลาออก เอ็มม่า บันตัน จึงเข้ามาแทน  สองพ่อลูกให้ทั้งห้าคนไปอาศัยอยู่ร่วมกันเพื่อละลายพฤติกรรมในบ้านที่เมเดนเฮด การมาอยู่รวมกันของห้าสาวทำให้พวกเธอตั้งชื่อวงกันเองว่า Spice ความสนิทสนมชนิดล่มหัวจมท้ายกันทำให้เกิดแผนรวมหัวกันหนีจากการดูแลของสองพ่อลูก ด้วยเหตุผลว่าสองพ่อลูกไม่ยอมฟังวิสัยทัศน์ของพวกเธอ 
 
สาว ๆ Spice ออกมาพร้อมกับเดโม่เพลงที่แต่งกันไว้ พวกเธอออกตามหา Eliot Kennedy โปรดิวเซอร์ที่เคยมาชมการแสดงของวงจนเจอ เอลเลียตช่วยพวกเธอทำเพลงและพาไปพบ Simon Fuller 
 
หลังจากนั้นพวกเธอกับไซม่อนก็เริ่มหาค่ายเพลง แต่แทบทุกค่ายไม่อยากได้พวกเธอ เพราะพวกเขาเชื่อว่าวงหญิงล้วนขายไม่ออก แต่สุดท้ายวงก็ได้สังกัดคือ Virgin Records และวงได้รับการเปลี่ยนชื่อเป็น Spice Girls เพื่อไม่ให้ซ้ำกับแร็ปเปอร์ที่ใช้ชื่อว่า Spice โดยในวันเซ็นสัญญา พวกเธอแกล้งส่งตุ๊กตายางห้าตัวนั่งรถลีมูซีนไปที่ค่ายแทนพวกเธอ
 
และเมื่อวงได้เริ่มออกโปรโมตตามสื่อ นิตยสาร Top of the Pops ก็เกิดนึกสนุกตั้งฉายาให้พวกเธอทั้งห้าเพื่อให้จำง่ายว่า Scary Spice (เมลบี) Sporty Spice (เมลซี) Posh Spice (วิคทอเรีย) Baby Spice (เอ็มม่า) และ Ginger Spice (เจรี่) ซึ่งมีเพียงเจรี่ที่มีฉายาใหม่ว่า Sexy Spice ในอเมริกาเพื่อให้เข้าใจง่ายกว่าชื่อ Ginger และนั่นคือบทเริ่มต้นตำนานบทใหม่ของวงการดนตรีอังกฤษในปลายยุค 90s
 

#Wannabe On Top

ถ้าพูดถึง Spice Girls ก็ต้องพูดถึงซิงเกิลเดบิวต์ของวงอย่าง Wannabe เมลบีอาจบอกว่า Wannabe เป็นเพลงที่ใช้เวลาแต่ง 10 นาที แต่ความสำเร็จของเพลงนี้ไม่ได้จบเร็วเท่าเวลาแต่ง เพราะเมื่อเพลงนี้ขึ้นไปถึงอันดับ 1 ในชาร์ตเพลงอังกฤษแล้วก็แผลงฤทธิ์สร้างสถิติครองชาร์ตนานถึง 7 สัปดาห์ 
 
มิวสิควิดีโอฉายครั้งแรกในรายการ The Box ซึ่งก็ฮิตติดลมบนทันที โดยเอ็มวีนี้ถูกฉายมากถึง 70 ครั้งในหนึ่งสัปดาห์
 
นอกจากนี้ Wannabe ยังทะยานไปครองอันดับ 1 ใน 22 ประเทศ รวมถึงที่อเมริกา ดินแดนที่ศิลปินอังกฤษน้อยคนนักจะสามารถข้ามไปโด่งดังได้
 
ด้วยความสำเร็จอันล้นหลาม เพลงนี้จึงครองสถิติเป็นซิงเกิลจากวงหญิงล้วนที่ขายดีที่สุดทั้งในอังกฤษ อเมริกาและพ่วงด้วยตำแหน่งซิงเกิลจากวงหญิงล้วนที่ขายดีที่สุดในโลก ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีวงหญิงล้วนวงไหนอาจหาญโค่นลงได้
 

 

#9 Become 1
 
ในยุค Spicemania นั้น Spice Girls ถือเป็นวงที่ตัดเพลงอะไรก็สามารถขึ้นได้ถึงอันดับ 1 ในชาร์ตอังกฤษ 
 
ซึ่งนับจาก Wannabe ซิงเกิลแรกจากอัลบั้ม SPICE มาถึงซิงเกิล Too Much ในอัลบั้ม Spice World วงสามารถทำสถิติมีเพลงขึ้นอันดับ 1 ติดต่อกันได้ถึง 6 ซิงเกิล แต่วงต้องมาหยุดสถิติการติดอันดับ 1 ติดต่อกันจากการที่ซิงเกิล Stop ติดอันดับ 2 แต่หลังจากนั้นวงก็สามารถทำอันดับ 1 ได้อย่างต่อเนื่องอีก 3 ซิงเกิลก่อนที่วงจะประกาศพักวงไป
 
โดยทั้ง 9 ซิงเกิลที่ขึ้นอันดับ 1 มีดังนี้
 
1. Wannabe - 1996 : 7 สัปดาห์
2. Say You'll Be There - 1996 : 3 สัปดาห์
3. 2 Become 1 - 1996 : 3 สัปดาห์
4. Who Do You Think You Are / Mama - 1997 : 3 สัปดาห์
5. Spice Up Your Life - 1997 : 1 สัปดาห์
6. Too Much - 1997 : 3 สัปดาห์
7. Viva Forever - 1998 : 3 สัปดาห์
8. Goodbye - 1998 : 2 สัปดาห์
9. Holler / Let Love Lead The Way - 2000 : 1 สัปดาห์
 


 

#Holler To The BRITs
 
ขึ้นชื่อว่าเป็นศิลปินอังกฤษ แน่นอนว่า Brit Awards ย่อมเป็นงานประกาศรางวัลที่มีความหมายของตัวศิลปิน 
 
Spice Girls ก็เป็นหนึ่งในศิลปินที่คว้ารางวัลใหญ่ ๆ ของงานมามากมาย ในปี 1997 วงได้ไปแสดงโชว์ Wannabe / Who Do You Think You Are และคว้ารางวัล British Single of the Year จากเพลง Wannabe และ British Video of the Year จาก Say You’ll Be There
ปี 1998 วงไปแสดงเพลง Stop พร้อมกับคว้ารางวัล Highest Selling Album Act 
 
ปี 2000 วงไปรับรางวัล Outstanding Contribution to Music โดยขึ้นไปรับรางวัลแค่สมาชิกสี่คน ซึ่งเจรี่ไม่ขอร่วมรับรางวัลเพราะเธอแจ้งว่าเธอไม่ใช่สมาชิกปัจจุบันของวง ในค่ำคืนนั้นเจรี่ได้ขึ้นแสดงเพลง Bag It Up และวง Spice Girls ได้แสดงเพลง Spice Up Your Life, Say You’ll Be There, Goodbye และ Holler เพลง Holler ถูกตัดออกตอนรายการฉายทางทีวีเนื่องจากปัญหาทางเทคนิคบางอย่าง 
 
ปี 2010 มีการจัดโหวตหาการแสดงที่น่าจดจำที่สุดในรอบ 30 ปีของ Brit Awards และผลก็มาว่าเป็นการแสดงโชว์ Wannabe / Who Do You Think You Are ในปี 1997ที่คว้ารางวัล  Live Performance of Thirty Year รางวัลพิเศษนี้ไป ซึ่งคนที่มารับรางวัลในค่ำคืนนั้นคือเจรี่และเมลบี
 


 

#Goodbye To Union Jack
 
เมื่อนึกถึง Spice Girls นอกจากรองเท้าส้นตึกอันเป็นแฟชั่นล้ำจัดในปลายยุค 90s แล้ว ชุดที่เป็นตำนานอย่างเดรสลายธงสหราชอาณาจักร (Union Jack Dress) ของเจรี่ที่ใส่ขึ้นแสดงในเพลง Wannabe / Who Do You Think You Are ในงาน Brit Awards 1997 ก็นับเป็นภาพจำให้กับเจรี่และวง Spice Girls ในทันทีที่เมลบีร้องเนื้อเพลงท่อนแรกของ Wannabe ในการแสดงนั้น และถูกโหวตให้เป็นหนึ่งใน 10 ชุดที่น่าจดจำในรอบ 50 ปีจากหนังสือพิมพ์ The Daily Telegraph
 
เดรสดังกล่าวเกิดจากการดัดแปลงเดรสสั้นเต่อสีดำของกุชชี่กับผ้าลายธงสหราชอาณาจักรจากไอเดียของเจรี่ ซึ่งพี่สาวของเธอเป็นผู้เย็บให้ ส่วนด้านหลังก็ติดเป็นสัญลักษณ์สันติภาพ 
 
ในปี 1998 เจรี่ลาออกจากวง Spice Girls และนำข้าวของเกี่ยวกับวงออกประมูลเพื่อหาเงินเข้ากองทุนการกุศลเกี่ยวกับโรคมะเร็งในเด็ก ซึ่งเดรสนี้ก็ถูกประมูลไปที่ 146,511 ปอนด์ ด้วยเหตุนี้ เดรสนี้จึงถูกบันทึกในสถิติโลกกินเนสส์ว่าเป็นข้าวของของคนดังที่ทำยอดประมูลได้สูงที่สุดในโลก ปัจจุบันเดรสดังกล่าวอวดโฉมอยู่ที่ Hard Rock Café ในลาส เวกัส
 


 

#Too Much Never Enough
 
คนดังเมื่อดังได้ระดับหนึ่งก็ต้องถูกสินค้าจับมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ซึ่งปกติก็มักจะเริ่มที่บริษัทน้ำอัดลม Spice Girls ก็ไม่ต่างกัน โดยสาว ๆ เริ่มจากการเซ็นสัญญากับบริษัท Pepsi  มูลค่าร้อยล้านดอลลาร์เพื่อแลกกับโฆษณาในคอนเซ็ปต์ Generation Next ที่ออกฉายทั่วโลก การสกรีนกระป๋องและขวดเป๊ปซี่เป็นรูปเดี่ยวแต่ละคนและทั้งวงกว่า 92 ล้านชิ้น 
 
แคมเปญการสะสมห่วงกระป๋องเป๊ปซี่แลกซีดีพิเศษเพลง Move Over (Generation Next) กับเพลง Step To Me  ที่ไม่มีวางขายที่ไหน และคอนเสิร์ตแรกของวงสองรอบที่อิสตันบูล ประเทศตุรกี ซึ่งภายหลังลิขสิทธิ์การฉายบันทึกการแสดงสดครั้งนี้ก็ถูกช่อง HBO ซื้อไปฉาย
 
นอกจากเป๊ปซี่แล้ว Spice Girls ยังได้เซ็นสัญญากับบริษัท Galoob (ปัจจุบันคือบริษัท Habro) ออกตุ๊กตาเป็นสมาชิกของวงแต่ละคน วางจำหน่ายในช่วงคริสต์มาสปี 1997 และกลายเป็นตุ๊กตาคนดังที่มียอดขายสูงที่สุดตลอดกาลจนถึงปัจจุบัน  โดยคอลเล็คชั่นแรกใช้ชื่อว่า Girl Power สร้างสถิติติดห้าอันดับของเล่นขายดีในประเทศอังกฤษในปีนั้นทันที ซึ่งจากการประสบความสำเร็จครั้งนี้ทำให้มีการต่อสัญญาออกตุ๊กตาของวงมาถึง 9 คอลเล็คชั่นตั้งแต่ปี 1997-1999 
 
ส่วนในวงการขนม พวกนางได้ดีลกับลูกอมจูปาจุ๊บส์ออกลูกอมรุ่นพิเศษ นอกจากนั้นยังดีลกับบริษัทแคดเบอรี่ออกช็อกโกแลตรุ่นพิเศษของวง รวมไปถึงการดีลกับขนมมันฝรั่งทอดยี่ห้อวอล์คเกอร์ที่นอกจากจะไปเป็นพรีเซ็นเตอร์ติดตามหน้าซองตามรสชาติต่าง ๆ แล้ว ยังออกรสพิเศษของวงคือ Cheese & Chives
 
มาที่วงการเครื่องใช้ต่างๆ นานา Spice Girls ไปดีลกับบริษัทโพลารอยด์ออกกล้องโพลารอยด์ในรุ่น SpiceCam ซึ่งก็นับเป็นครั้งแรกที่ทางโพลารอยด์ตัดสินใจตั้งชื่อผลิตภัณฑ์ตามชื่อศิลปินที่มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ 
 
Spice Girls เป็นลูกค้าของแบรนด์ Buffalo ที่ทำรองเท้าส้นตึกมาตั้งแต่แรกจนรองเท้าส้นตึกกลายเป็นภาพจำของวงไปในที่สุด วงก็เลยจัดการเซ็นสัญญากับบริษัทนี้ในการผลิตไลน์รองเท้ารุ่นของวง ซึ่งก็มีขนาดตั้งแต่เด็กจนไปถึงผู้ใหญ่
 
และยังทำสัญญากับแบรนด์ ASDA มูลค่าหนึ่งล้านปอนด์เพื่อผลิตสรรพสิ่งที่ผะยี่ห้อวง เช่น เสื้อผ้า ผ้าขนหนู ผ้าปูที่นอน โคมไฟ เครื่องเขียน ไพ่ พิซซ่าแช่แข็ง และอีกมากมาย 
 
นี่แค่เศษเสี้ยวสินค้าของวงในยุคเฟื่องฟู เพราะที่จริงวงยังมีสินค้าและผลิตภัณฑ์อีกหลากหลายอย่างให้สมกับที่ได้ชื่อว่า สไปซ์โกย เอ๊ย! เกิร์ลแบนด์ที่ประสบความสำเร็จที่สุดแห่งยุค 90s
 

#Spice Up Your Screen
 
Spice Girls นอกจากจะโลดแล่นในวงการเพลงแล้ว ในวงการโทรทัศน์และภาพยนตร์ พวกเธอก็เคยเข้าไปแผลงฤทธิ์มาแล้ว พวกเธอได้รับเชิญให้ร้องเพลงเพื่อใช้เปิดสถานีช่อง 5 ของประเทศอังกฤษด้วยสัญญาค่าตัวที่ 500,000 ปอนด์ ซี่งมีผู้รอชมการเปิดสถานีช่อง 5 ผ่านหน้าจอวันนั้นถึง 2.49 ล้านคน
 
ส่วนวงการภาพยนตร์ วงมีภาพยนตร์ที่ทั้งวงร่วมเสนอไอเดียในการเขียนบทและลงมือแสดงเองในชื่อว่า Spice World The Movie หรือชื่อภาษาไทยคือ สไปซ์เกิร์ลส โลกนี้มีไว้กรี๊ด  
 
โปรเจกต์เรื่องนี้ถ่ายทำกันส่วนใหญ่ในลอนดอน ทุนสร้างที่ 25 ล้านเหรียญ ใช้เวลาถ่ายทำรวมสามเดือนพร้อม ๆ กับการที่วงต้องอัดเพลงในสตูดิโอเคลื่อนที่สำหรับอัลบั้ม SPICE WORLD ไปด้วย นอกจากหนังเรื่องนี้จะมี Spice Girls เป็นตัวเดินเรื่องแล้ว ยังมีดาราชั้นนำของอังกฤษมากมายที่ยินดีจะมาร่วมแสดงด้วย เช่น Richard E. Grant, Claire Rushbrook, Meat Loaf, Roger Moore และ Alan Cumming 
 
หนังออกฉายวันที่ 15 ธันวาคม ปี 1997 ในอังกฤษ กวาดรายได้ไป 6.8 ล้านปอนด์ ขณะที่ไปฉายในอเมริกา Spice World The Movie สามารถกวาดรายได้ไปถึง 10,527,222 ดอลลาร์ กลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดในช่วงสุดสัปดาห์ที่มีการแข่งซูเปอร์โบล์วในช่วงนั้น และขึ้นอันดับ US Box Office สูงสุดที่อันดับ 2 เป็นรองแค่ Titanic ที่ครองแชมป์มานานในช่วงปีนั้น ส่วนประเทศไทย Spice World The Movie เข้าฉายในวันที่ 1 พฤษภาคม ปี 1998 ตรงกับวันแรงงานพอดี
 
และถึงแม้นักวิจารณ์จะฟันธงว่าเป็นหนังยอดแย่ จนสาว ๆ ได้รางวัล Golden Raspberry Award  สาขา“นักแสดงหญิงยอดแย่” แต่รายได้ฟาดไปถึง 151 ล้านเหรียญ สาว ๆ ก็คงพูดแค่ “แล้วไง ใครแคร์”
 
 
 
 
#Headline
 
ในปี 1996-1997 เป็นช่วงที่ Spice Girls ดังอย่างฉุดไม่อยู่ สื่อต่างๆก็เล่นข่าวของวงแทบทุกวัน ทั้งข่าวจริงบ้าง ข่าวปลอมบ้าง แต่แค่ขึ้นพาดหัวว่า Spice Girls หนังสือพิมพ์หรือนิตยสารฉบับนั้นก็ขายได้แล้ว เพราะแบบนี้วงจึงเกิดโปรเจกต์ในการทำหนังสือเกี่ยวกับวงชื่อว่าGirl Power: The Official Book by the Spice Girls ซึ่งเคลมว่าวงเป็นคนเขียนเองทั้งเล่ม และความจริงทุกอย่างอยู่ในเล่มนี้เล่มเดียว
 
หนังสือเล่มนี้ขึ้นอันดับเป็นหนังสือขายดีทันทีที่มีการวางจำหน่าย และมีการพิมพ์ซ้ำอยู่หลายครั้ง แต่การกำเนิดเกิดขึ้นของหนังสือเล่มนี้นำพาไปสู่การที่ Spice Girls ทำนิตยสารของวงขึ้นมาขายตามแผงหนังสือเฉกเช่นนิตยสารรายเดือนในท้องตลาด ซึ่งใช้ชื่อว่า Spice Magazine และเช่นเดิมว่านิตยสารนี้ก็เคลมว่า Spice Girls เขียนกันเอง โดยในเล่มนอกจากจะมีข่าวสารเกี่ยวกับวงให้อัปเดต ยังมีคอลัมน์ของแต่ละนาง ซึ่งก็จะพูดถึงเรื่องต่าง ๆ เช่นเจรี่เล่าเรื่องทริปตากอากาศของเธอกับครอบครัว, วิคทอเรียกับการไปนอนค้างที่บ้านที่เกิดคดีของจีอานนี่ เวอร์ซาเช่ในไมอามี่ ทีเด็ดยังอยู่ที่คอลัมน์ตอบจดหมายเรื่องสรรพเพเหระจากผู้อ่าน ซึ่งนิตยสารก็เคลมว่าวงเป็นคนตอบเอง นิตยสารนี้โลดแล่นอยู่บนแผงหนังสือได้แปดเดือนก็ปิดตัวลงเพราะการลาออกของเจรี่ ฮัลลิเวลล์ นิตยสารนี้จึงเปลี่ยนรูปแบบไปเป็นวารสารส่งถึงแฟนคลับที่จ่ายค่าสมาชิกแทน
 
 
 
 
#Let Love Lead To The Royal
 
Spice Girls กับความสัมพันธ์กับราชวงศ์
 
ขณะที่ทั่วโลกต่างกรี๊ดกร๊าด Spice Girls เป็นบ้าเป็นหลัง ราชวงศ์ของอังกฤษเองก็ไม่ได้น้อยหน้าเช่นกัน โดย Spice Girls มีแฟนคลับในวังที่เป็นตัวตั้งตัวตีคือเจ้าฟ้าชายชาร์ลส และพระโอรสทั้งสอง เจ้าชายวิลเลี่ยมและเจ้าชายแฮร์รี่
 
เจ้าชายวิลเลี่ยมและเจ้าชายแฮร์รี่ปลื้มเอ็มม่า บันทันมากจนถึงขนาดปลดโปสเตอร์พาเมล่า แอนเดอร์สันลง แล้วติดรูปของเอ็มม่าไว้แทนบนหัวเตียง ส่วนเจ้าฟ้าชายชาร์ลสทรงปลื้มเจรี่ ฮัลลิเวลล์เป็นการส่วนพระองค์ และในงานการกุศล The Prince's Trust ในปี 1997 เจรี่ ฮัลลิเวลล์ได้แอบหยิกก้นเจ้าฟ้าชายชาร์ลส รวมทั้งยังจุ๊บแก้มเจ้าฟ้าชายชาร์ลสอีกด้วย นอกจากนี้ Spice Girls ยังเคยได้ร่วมเดินทางไปพบกับเนลสัน แมนเดล่าที่แอฟริกาใต้ร่วมกับคณะของเจ้าฟ้าชายชาร์ลสอีกด้วย และด้วยความปลาบปลื้มนี้เอง พอเจรี่ ฮัลลิเวลล์ประกาศลาออกจากวง Spice Girls เจ้าฟ้าชายชาร์ลสก็ถึงกับส่งพระราชสาส์นไปถึงตัวแทนของเจรี่ โดยใจความกล่าวว่า “วงคงไม่เหมือนเดิมเมื่อไม่มีคุณ ต่อไปจะไม่ได้รับการทักทายอันเปี่ยมไมตรีจิตจากคุณอีกแล้ว ข้าพเจ้าจะทำยังไง ยังไงข้าพเจ้าก็รู้สึกขอบใจอย่างสุดซึ้งต่อความโอบอ้อมอารีย์ที่มีต่องานการกุศล The Prince's Trust และขออวยพรให้คุณมีอนาคตที่ดี”  ซึ่งหลังจากนั้นในงาน The Prince's Trust ปี 1998 เจรี่ก็ไปร่วมงานและได้ร้องเพลง Happy Birthday ให้เจ้าฟ้าชายชาร์ลสอีกด้วย
 
 
 
 
 
#Viva4ever
 
Spice Girls มีชื่อเสียงคร่ำหวอดอยู่ในวงการมายี่สิบกว่าปี เป็นตำนานของวงหญิงล้วนที่ประสบความสำเร็จสูงสุดทั้งในด้านยอดขายผลงานเพลง ผลงานภาพยนตร์ และสรรพสิ่งสินค้านานา แต่ใครจะเชื่อว่าความเป็นตำนานของวงนั้น วงมีสตูดิโออัลบั้มในนามของวงแค่เพียง 3 อัลบั้ม กับอีก 1 อัลบั้มรวมฮิต ซึ่งอัลบั้มที่ขายดีที่สุดก็หนีไม่พ้น SPICE อัลบั้มชุดแรกของวง ด้วยยอดขายทั่วโลกกว่า 23 ล้านแผ่น อัลบั้มนี้จึงเป็นอัลบั้มของวงหญิงล้วนที่มียอดขายสูงที่สุดในโลกโดยยังไม่มีวงใดโค่นลงได้
 
อัลบั้มที่สองของวงคือ SPICE WORLD เป็นอัลบั้มที่ออกมาพร้อม ๆ กับการฉายหนังเรื่อง Spice World The Movie อัลบั้มนี้ปิดยอดขายทั่วโลกอยู่ที่กว่า 13 ล้านแผ่น
 
Forever อัลบั้มที่สามออกมาหลังจากวงเหลือสมาชิกสี่คน และมีการเปลี่ยนแปลงแนวทางดนตรีเป็นอาร์แอนด์บีมากขึ้น รวมถึงภาพลักษณ์ของวงที่ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น แม้จะเป็นสตูดิโออัลบั้มของวงที่มียอดขายน้อยที่สุดที่ 4 ล้านแผ่น
 
ในปี 2007 Spice Girls ประกาศทัวร์และมีการวางจำหน่ายรวมฮิตของวงครั้งแรก Spice Girls : Greatest Hits 
 
ปกอัลบั้มนี้ได้รับการออกแบบโดย David Morris นักออกแบบจิวเวลลี่ชื่อดัง ซึ่งวงให้โจทย์ไปว่า “เรียบแต่โก้” (simple and stylish )เดวิดได้แรงบันดาลใจจากปกอัลบั้ม SPICE อัลบั้มแรกของวง โดยตัว "S" เขาใช้อำพันเพื่อสื่อถึงวิคทอเรีย  ตัว "P" คือทับทิมสีชมพูสื่อถึงเอ็มม่า ตัว "I"  คือเพชรสื่อถึงเมลานี ซี ตัว "C"คือแซฟไฟร์สื่อถึงเจรี่ และใช้มรกตกับตัว  "E" เพื่อสื่อถึงเมลบี ปกอัลบั้มนี้ใช้งบไปหนึ่งล้านปอนด์และเป็นปกอัลบั้มที่มีค่าออกแบบแพงที่สุดเท่าที่วงเคยทำมา
 

 

#Stop At Tesco
 
Spice Girls ยุติบทบาทของวงชั่วคราวในช่วงปี 2000 หลังจากวงออกอัลบั้ม Forever แต่เหล่าสมาชิกยังคงออกผลงานเดี่ยวเพื่อเก็บเกี่ยวความสำเร็จของตัวเอง จนในปี 2007 วง Spice Girls ก็กลับมารวมตัวเพื่อทำทัวร์คอนเสิร์ต The Return Of The Spice Girls 2007/2008 ออกอัลบั้มรวมฮิตและมีสารคดี Giving You Everything ฉายทางช่อง BBC ONE ในอังกฤษ แต่การกลับมารวมวงครั้งนี้ วงยังได้เซ็นสัญญาเล่นโฆษณาสองตัวให้กับ Tesco ซูเปอร์มาร์เก็ตอีกด้วย โดยโฆษณาสองตัวนี้ออกฉายในช่วงคริสต์มาส และสมาชิกแต่ละคนก็รับทรัพย์ไปขำ ๆ ก่อนที่วงจะเริ่มทัวร์คอนเสิร์ตไปคนละหนึ่งล้านปอนด์
 
#Five Mamas Do The Olympic
 
ในปี 2012 ประเทศอังกฤษได้เป็นเจ้าภาพโอลิมปิก มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างมากมายว่า Spice Girls จะไปร่วมแสดง แต่ก็มีการออกมาให้ข่าวปฏิเสธอยู่ตลอดเช่นกัน ซึ่งสุดท้ายความปรารถนาของแฟน ๆ Spice Girls ทั่วโลกก็เป็นจริงเมื่อสมาชิกทั้งวงตกปากรับคำที่จะร่วมเป็นหนึ่งในการแสดงปิดโอลิมปิก
 
นาทีที่ Spice Girls ขึ้นเวที ทางทวิตเตอร์ออกมายืนยันว่ามียอดทวีตพุ่งถึง 116,000 ทวีตต่อนาที ซึ่งเป็นยอดทวีตที่มากที่สุดในทุกการแสดงและบรรดาคนดังทั้งหายที่ขึ้นจอในคืนนั้น และค่ำคืนแห่งตำนานของวงครั้งนั้นก็เกือบจะไม่เกิดขึ้น เพราะวิคทอเรียเกิดอาการตื่นเวทีก่อนจะเริ่มการแสดงจนทำให้เพื่อน ๆ ทั้งวงต้องช่วยกันปลอบ
 


 

#Say You’ll Be On Tour
 
ทุกครั้งที่ Spice Girls ประกาศทัวร์ เม็ดเงินมากมายก็ถาโถมแบบไม่ลืมหูลืมตา และนอกจากเม็ดเงินแล้ว สถิติต่าง ๆ ก็ตามมา ทัวร์ทางการครั้งแรกของวงคือ Spice World Tour อีกชื่อคือ Spice Girls in Concert หรือ the Girl Power Tour '98 ซึ่งทำการแสดงในสหราชอาณาจักร ยุโรปและอเมริกาเหนือ โดยหลาย ๆ รอบ เช่น ลอสแองเจลิส โตรอนโต และฟิลาเดลเฟีย ตั๋วขายหมดเกลี้ยงในไม่กี่นาที ส่วนรอบที่เมดิสัน สแควร์ การ์เด้นในนิวยอร์ก ตั๋วจำนวน  13,000 ใบขายหมดเกลี้ยงในเวลา 12 นาที และสร้างสถิติให้ Spice Girls เป็นวงดนตรีที่สามารถขายตั๋วได้เร็วที่สุดเท่าที่มีวงมาเปิดการแสดงที่เมดิสัน สแควร์ การ์เด้น ทัวร์นี้ปิดยอดที่อเมริกาเหนือด้วยยอด 60 ล้านดอลลาร์ 
 
สถิติอีกครั้งของวงเกิดขึ้นในการประกาศทัวร์ The Return Of The Spice Girls 2007/2008 ที่เพียงแค่ประกาศขายบัตรรอบ The O2 Arena รอบแรก บัตรก็ถูกจำหน่ายหมดในเวลาเพียง 32 วินาที และรอบการแสดงที่ O2 arena ในลอนดอน ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคมจนถึง 22 มกราคม รวม 17 รอบยังคว้ารางวัล Top Boxscore จาก Billboard Touring Awards ครั้งที่ 5 อีกด้วย 
 
ทัวร์นี้วงตั้งใจจะทำทัวร์นี้เป็นเวิลด์ทัวร์แรกของวง เพื่อปิดตำนาน แต่สุดท้ายด้วยตารางเวลาที่ไม่สามารถขยายได้ทำให้วงต้องปิดรอบการแสดงที่ 47 รอบ รวมรายได้จากสรรพสิ่งต่างๆของทัวร์นี้อยู่ที่ 107.2 ล้านดอลลาร์ และติดอันดับ 8 ของทัวร์คอนเสิร์ตที่ขายดีที่สุดในปี 2008
 
ล่าสุดกับ Spice World 2019 Tour ซึ่งแสดงแค่ในอังกฤษ ที่เพียงประกาศไป 6 รอบแรกก็ต้องประกาศว่าบัตรขายหมดเกลี้ยง ในไม่กี่นาที และเป็นคอนเสิร์ตแรกที่ทำให้เว็บไซต์ Ticketmaster ต้องระบบล่มจากการที่แฟน ๆ กว่า 700,000 คนทั่วโลกแย่งกันจองบัตรในเว็บไซต์ จนสุดท้ายวงทนเสียงเรียกร้องจากแฟน ๆ ไม่ไหวต้องประกาศเพิ่มรอบ เพิ่มเมืองและเพิ่มประเทศที่แสดง  จนปัจจุบันมีรอบแสดงทั้งสิ้น 13 รอบจาก 8 เมืองใน 4 ประเทศ
 
 
ขอขอบคุณบทความ จาก Spice Girls Thailand




.:: อื่นๆ ที่น่าสนใจ


.:: ข่าวอื่นๆ